ออนเซ็นที่ญี่ปุ่น ห้ามคนมีรอยสักเข้าจริงเหรอ ?

การแช่ออนเซ็นที่ญี่ปุ่น เป็นกิจกรรม Top List ที่ทุกคนที่มาเยือนญี่ปุ่นต้องทำและหลายคนอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่าแต่ว่า ออนเซ็นบางที่ ห้ามคนที่มีรอยสักเข้าใช้บริการ หลายคนก็อยากทราบถึงสาเหตุว่าเพราะอะไรกันนะ แล้วถ้ามีรอยสักอยากแช่ออนเซ็นต้องทำยังไงบ้าง? เราจึงรวบรวมข้อมูลมาให้อ่านกันนะคะ

เรื่องของรอยสักกับคนญี่ปุ่นนั้นมีเรื่องราวกันมาอย่างยาวนาน เราต้องย้อนรอยไปตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์. รอยสักกับคนญี่ปุ่น เป็นศิลปะ ที่ผูกพันธ์กันมายาวนาน รอยสักนั้นเป็นหลักฐานบันทึกทางวัฒนธรรม ความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม และทั้งยังแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นที่เป็นความเชื่อและวิถีชีวิตมาแต่ละยุคสมัยอีกด้วย

ออนเซ็น

ย้อนรอยญี่ปุ่นกับอิทธิพลรอยสักในแต่ละยุค

ยุคโจมง 縄文時代 และยุคยาโยอิ 弥生時代

ยุคนี้รอยสักเป็นสัญลักษณ์ของการป้องกันตัวเองจากภยันอันตรายจากธรรมชาติ เชื่อว่ารอยสักจะช่วยคุ้มครองปกป้องตนเองให้เดินทางปลอดภัย หรือ สักเพื่อแสดงสถานะทางสังคม โดยตำแหน่งและขนาด ของรอยสักนั้นจะบ่งบอกถึงสถาณะทางสังคมที่ต่างกัน

แม้กระทั่งการสักเพื่อบ่งบอกชาติพันธุ์ มนุษย์ยุคโบราณสักบนใบหน้าเพื่อบ่งบอกชาติพันธุ์ของตัวเอง เนื่องจากใบหน้าเป็นส่วนของร่างกายที่เห็นได้ชัดที่สุด และลวดลายที่สักบนใบหน้าจะแตกต่างกันไปตามภูมิภาคและชาติพันธุ์

และในยุคนี้ยังมีการสักเพราะความเชื่อเรื่องภพหน้า โดยเชื่อว่า รอยสักนั้นเป็นหลักฐานเพียงชิ้นเดียวที่จะทำให้บรรพบุรุษจำลูกหลานของพวกเขาได้ เมื่อลูกหลานเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ญาติพี่น้องจะสักลวดลายบนหลังมือเพื่อเป็นใบเบิกทางให้ลูกหลานพบกับบรรพบุรุษ ก่อนจะวางร่างเข้าไปในโลงศพ.

ยุคนาระ 奈良時代 และยุคเฮอัน 平安時代

โดยยุคนี้เป็นยุคที่ได้มีการติดต่อค้าขายและรับวัฒนธรรมมาจากจีน ยุคนี้รอยสักเป็นหนึ่งในวิธีการลงโทษผู้ที่กระทำความผิด ซึ่งเป็นการสักบริเวณหน้าผากหรือรอบแขนเป็นเส้นตรงสองเส้น

ยุคเซ็นโกคุ 戦国時代

บรรดานักรบนิยมสัก โดยเป็นรายสักเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณและการสร้างสายสัมพันธ์ในหมู่นักรบ โดยในยุคนี้มีความเชื่อที่ว่า รอยสักคือการอัญเชิญวิญญาณเทพเจ้าเข้ามาสิงสถิตในร่างกายของมนุษย์

ผู้ใดที่มีรอยสัก ผู้นั้นได้รับพลังวิเศษของเทพเจ้า ใครก็ตามที่ทำร้ายผู้ที่มีรอยสัก

จะเกิดอาเพสต่อคนนั้นๆ จากความเชื่อดังกล่าว นักรบในสมัยนั้นจึงป้องกันภัย ป้องกันคนที่จะเข้ามาทำร้ายตนเองด้วยรอยสัก โดยรอยสักที่นิยมในยุคนี้คือ รอยสักลวดลายเทพเจ้า เช่น ฟุโด เมียวโอ เจ้าแม่กวนอิม เทพอาชูร่า รวมถึงลายเสือและมังกร

และรอยสักขนาดใหญ่เป็นลักษณะเด่นของยุคนี้ และเป็นต้นกำเนิดของรอยสักตามแบบฉบับของญี่ปุ่น ที่นิยมมาจนกระทั่งยุคปัจจุบัน

ยุคเอโดะ 江戸時代

บทบาทของการสักในสังคมญี่ปุ่นในยุคนี้ยังคงผันผวน เครื่องหมายรอยสักยังคงถูกใช้เป็นการลงโทษ เรียกว่า “คุจิงาตะโอะซะเมะกะคิ” รอยสักเป็นวิธีลงโทษผู้กระทำความผิดในข้อหาลักทรัพย์

นอกเหนือจากสักเพื่อลงโทษแล้ว ในอีกมุม รอยสักยังเป็นที่นิยมในลุ่มคนบางกลุ่ม แม้ยุคนี้รัฐบาลประกาสให้ใ้กฎหมายห้ามสัก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ

การสักได้รับความนยมจากกลุ่มนักรบไปสู่ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้แรงงาน และผู้ชายในยุคนี้หลงไหลในการสักและมักเปิดเผยโชวรอยสักในที่สาธารณะ

และมีคำกล่าวกันว่า ยุดนี้เป็นยุคที่รอยสักได้รับความนิยมสูงสุด ลวดลายและเทคนิคการสักได้มีการพัฒนาอย่างมาก

และยุคนี้ยังเป็นการสักเพื่อแสดงอำนาจของกลุ่ม

โดยนักรบซามูไรที่เจ้านายเสียชีวิตและได้กลายเป็นคนเร่ร่อน จะเลี้ยงชีพโดยการเล่นพนัน โดยจะขอเช่าสถาณที่เพื่อตั้งบ่อนการพนัน เมื่อมีสมาชิกเพิ่มมากขึ้น จึงมีการตั้งกฏเพื่อควบคุมสมาชิก หัวหน้าต้องให้ความคุ้มครองแก่ลูกน้อง ลูกน้องต้องจงรักภักดีต่อหัวหน้าและต้องเคารพและเชื่อฟังคำสั่งที่สั่งกันลงมาเป็นลำดับ โดยจะมีการจัดลำดับขั้นและสถานะ บทบาท ของสมาชิกกลุ่มแต่ละคน

โดยลักษณะเด่นของนักพนันคือ รอยสักขนาดใหญ่ตามตัว เพื่อข่มขู่เจ้าหน้าที่รัฐ นอกจากนี้ยังเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกสังกัดของตนเอง โดยสมาชิกจะถูกสักเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อกลุ่ม

โดยยุคเอโดะ มีการแบ่งชนชั้นของคนในสังคมออกเป็น 4 ชนชั้น คือ

1.นักรบและข้าราชการของรัฐ จัดอยู่ในกลุ่มชนชั้นนักปกครอง. 2.เกษตรกร 3.ช่างฝีมือ 4.พ่อค้า

นอกเหนือจาก 4 ชนชั้นที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีกลุ่มชนชั้นล่าง เรียกว่า “เอตะและฮินิง” นักพนันและพ่อค้าเร่ จะถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้ และต่อมาได้พัฒนาเป็นกลุ่มอาชญากรรมขนาดใหญ่เรียกว่า “ยากูซ่า”

ยุคเมจิ 明治時代

เป็นยุคที่ปฏิรูปประเทศ และยกเลิกระบบชนชั้นที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะ ให้ทุกคนในสังคมเท่าเทียมกันรัฐบาลได้ออกกฎหมายห้ามการสัก รอยสัก=ผิดกฎหมาย ถ้าฝ่าฝืนจะถูกปรับหรือถูกโบย ส่วนช่างสักจะถูกควบคุมตัวประมาณ 30 วันหรือโดนขังนั่นเอง

สรุปคือรอยสักเป็นวัฒนธรรมที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อถ่ายทอดความคิด ความเชื่อ วิถีชีวิตของคนในสังคมนั้นๆ

ก่อนที่จะมีกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษรนั้นิ รอยสักได้มีบทบาทหน้าที่ได้การจัดระเบียบทางสังคม นอกจากนี้กลุ่มยากูซ่า ได้ใช้รอยสักเพื่อแสดงอัตลักษณ์ของตนเอง จึงทำให้รอยสักนั้นถูนำเสนอว่าเป็นสัญลักษณ์ของอาชญากร

จึงทำให้รอยสักถูกมองไปในทางลบ

แม่ศิลปะรอยสักของญี่ปุ่นนั้นเป็นที่ชื่นชอบและนิยมของทั่วโลก แต่กลับเป็นที่ที่ยอมรับไม่ได้ในสังคมญี่ปุ่นเอง และในปัจบันไม่ได้มีกฎหมายห้ามสัก แต่ภาพลักษณ์ในด้านลบของรอยสักก็ยังอยู่ ว่ารอยสักนั้นเป็นสัญลักษณ์ของคนไม่ดี จึงเกิดการต่อต้านรอยสักเกิดขึ้น

จะเห็นได้จนถึงปัจจุบัน เช่น สระว่ายน้ำสาธารณะ ฟิตเนสบางที่ ออนเซ็น หรือสถานกี่ฬากลางแจ้ง แม้กระทั่งชายหากบางที่ ก็ห้ามผู้ที่มีรอยสักเข้าใช้บริการ

การแช่ออนเว็นถือเป็น Top List ของนักท่องเที่ยวทุกคนเลยก็ว่าได้ ที่ต้องการสัมผัสประสบการณืการแช่ออนเซ็นแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ซึ่งการแช่ออนเซ็ฯนั้นไม่เพียงแต่เป็นการพักผ่อนหย่อนใจ แต่ออนเซ็นนั้นยังสามารถรักษาโรคได้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นโรคผิวหนังชนิดต่างๆ ช่วยให้ผิวพรรณสดใส

ช่วยคลายกล้ามเนื้อและข้อต่อ คลายจากความเมื่อยล้า ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดี ทั้งยังช่วยเรื่องระบบย่อยอาหาร และออนเซ็นแต่ละที่นั้นก็ยังมีสรรพคุณที่แตกต่างกันออกไป

นอกจากใช้ออนเซ็นเพื่อรักษาโรคหรือผ่อนคลายแล้ว ชาวญี่ปุ่นยังใช้ออนเซ็นในการคุยธุรกิจ เพราะเป็นสถานที่ที่เงียบ ผ่อนคลาย ทำให้การเจรจาง่ายขึ้นอีกด้วย

กฎและมารยาทในการเข้าใช้ออนเซ็นที่ญี่ปุ่น ซึ่งแต่ละโรงแรมหรือสถานที่ให้บริการแต่ละที่นั้นมีกฎต่างกัน เพราะฉะนั้นเราควรเคารพกฎเกณฑ์ของสถานที่ ซึ่งหลักๆ กฎเกณฑ์ประกอบด้วย

ไม่สวมเสื้อผ้า หรือชุดว่ายน้ำลงในบ่อ (ยกเว้นที่ที่อนุญาต)

อย่าใส่ผ้าขนหนูลงบ่อ หรือลงไปซัก ควรเอาไว้บนศีรษะ

อาบน้ำให้สะอาด ล้างสบู่ออกให้หมดก่อนลงบ่อ

คนผมยาวควรมัดหรือเกล้าผมไว้ เพื่อไม่ให้ผมแช่ลงบ่อ

คนที่มีรอยสักห้ามลงบ่อ (ยกเว้นที่ที่อนุญาต)

ไม่ควรปรับลดระดับความร้อนของน้ำ

ไม่นำอาหารหรือเครื่องดื่มไปรับประทาน

ไม่ส่งเสียงดัง ไม่กระโดดลงบ่อ ไม่ว่ายน้ำหรือสาดน้ำ

เช็ดตัวให้แห้งก่อนกลับไปตู้ล็อกเกอร์

ห้ามนำอุปกรณ์โทรศัพท์เข้าไปในห้อง

แล้วสาเหตุที่ห้ามคนมีรอยสักเข้าออนเซ็นคือ?

การแช่ออนเซ็น เป็นสถานที่ที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจของคนทุกวัย ผู้ที่เข้ามาใช้บริการต้องเปิดเผยเรือนร่างและแช่น้ำบ่อเดียวกันกับผู้อื่น ซึ่งอย่างที่กล่าวมาข้างต้นคนญี่ปุ่นนั้นมีความคิดที่ฝังลึกเกี่ยวกับรอยสัก คือคนที่สักเป็นกลุ่มคนที่ต่อต้านสังคม เป็นสมาชิกของแก๊งค์ยากูซ่า

และการที่คนมีรอยสักเข้าไปใช้บริการรวมกับคนอื่นๆ ทำให้ผู้ที่เข้ามาใช้บริการนั้นรู้สึกหวาดกลัว หรือเกรงขาม สร้างความไม่สบายใจต่อผู้ใช้บริการท่านอื่น จนไม่กล้าที่จะกลับมาใช้บริการในออนเซ็นนี้อีก บ้างก็กล่าวว่า หมึกของรอยสักนั้นจะละลายออกมาปนเปื้อนกับน้ำ ทำให้ความบริสุทธ์ของน้ำลดลง

แม้จะไม่ได้มีกฎหมายออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรแต่ก็เป็นข้อตกลงที่ทราบดีในหมู่คนญี่ปุ่น ออนเซ็นบางที่ถึงกับติดป้ายห้ามคนที่มีรอยสักเข้าใช้บริการกันเลยทีเดียว เพื่อสร้างความสบายใจให้กับผู้ใช้บริการท่านอื่น

สำหรับคนต่างชาติแล้วนั้น รอยสักนั้นเป็นสิ่งมีความหมาย เป็นศิลปะ ความทรงจำ เป็นความภาคภูมิใจหรืออีกหลายเหตุผลอื่นๆ ที่ไม่ได้หมายความว่าเป็นยากูซ่าอย่างแน่นอน ซึ่งทางญี่ปุ่นมีการรณรงค์ให้ออนเซ็นสาธารณะยกเลิกข้อห้ามและปฏิเสธในการลงแช่ออนเซ็นของคนที่มีรอยสัก

แต่ก็ยังเป็นเพียงแค่การรณรงค์เท่านั้น ยังมีออนเซ็นที่ยังไม่เข้าร่วมและไม่ยอมรับการยกเลิกข้อห้ามนี้อยู่ เพราะด้วยวัฒนธรรมที่ฝังลึกอยู่ในใจ คงต้องใช้เวลาอีกนาน

แล้วถ้ามีรอยสักแล้วอยากแช่ออนเซ็น ทำยังไง?

ออนเซ็นบางที่ ได้อนุญาติให้ผู้ที่มีรอยสักเข้าได้ แต่ต้องปกปิดรอยสักนั้นก่อนเข้าใช้บริการ เช่นการใช้สติกเกอร์สีเดียวกันกับผิวแปะเพื่อปกปิดรอยสัก แต่วิธีนี้อาจจะได้เพียงรอยสักที่มีขนาดเล็ก-ขนาดกลางเท่านั้น โดยจะมีหลายเฉดสีให้เลือกสรรตามเฉดสีผิวของเรา และยังมีวางขายตามออนเซ็นขนาดใหญ่บางที่อีกด้วย

แช่ออนเซ็นในสถานที่ไพรเวท เช่นจองที่พักที่มีออนเซ็นในตัว แต่ก็จะไม่ได้บรรยากาศเหมือนแช่ในออนเซ็นสาธารณะ

แต่เดียวนี้คนทำมีเว็บไซต์ TATTOO FRIENDLY.JP ที่สามารถเช็คได้แล้วว่า ที่ไหนที่คนมีรอยสักสามารถเข้าใช้บริการได้. ทำให้เราวางแผนได้ ไม่เสียเที่ยว โดยเว็บนี้ไม่เพียงแต่เช็คว่าออนเซ็นที่ไหน ที่คนมีรอยสักสามารถเข้าใช้บริการได้ แต่ยังสามารถเช็คสถานที่สาธารณะอื่นๆด้ด้วย เช่น ยิม สระว่ายน้ำ ชายหาด โรงแรม หรือมีร้านสักแนะนำอีกด้วย เรียกว่าข้อมูลครบกันเลยทีเดียว

BACK